เกร็ดความรู้

เจาะลึกมาตรฐานหมวกเซฟตี้: ANSI, EN, มอก. เลือกอย่างไรให้ปลอดภัย?

อุบัติเหตุทางศีรษะเป็นอันตรายร้ายแรงที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ การสวมใส่อุปกรณ์เซฟตี้ PPE โดยเฉพาะ หมวกเซฟตี้ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำงานที่มีความเสี่ยง

จากสถิติในสหรัฐอเมริกาปี 2012 พบว่ามีอุบัติเหตุกว่า 65,000 ครั้งต่อวันจากการบาดเจ็บที่ศีรษะในที่ทำงาน และมีผู้เสียชีวิตถึง 1,000 ราย การไม่สวมใส่ หมวกนิรภัย เป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุเหล่านี้ถึง 84% (ข้อมูลจาก BLS)

หมวกนิรภัย หรือ หมวกเซฟตี้ ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันอันตรายจากการปฏิบัติงาน เช่น สิ่งของตกกระแทกศีรษะ วัสดุที่ใช้ผลิตมีหลากหลาย เช่น พลาสติก (PE, ABS, PC, HDPE), ไฟเบอร์กลาส และโลหะ ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติและความเหมาะสมในการใช้งานที่แตกต่างกัน

วัสดุของหมวกนิรภัย หรือหมวกเซฟตี้
วัสดุในการใช้ทำหมวกเซฟตี้ หรือหมวกนิรภัยมีทั้งหมวก 3 อย่าง คือ ทำด้วยพลาสติก ไฟเบอร์กลาส และโลหะ

หมวกนิรภัยทำด้วยพลาสติก มีสี่ประเภท

  • เหนียว ยืดยุนดี ทนทาน น้ำหนักเบา
  • ทนกรด และด่างอ่อน
  • ไม่ทนน้ำมันและความร้อนที่อุณหภูมิสูง
  • เหนียว ยืดยุนดี ทนทานกว่าตัว โพลีเอทีลีน (PE)
  • สามารถทนความร้อนได้
  • เป็นหมวกเซฟตี้ที่มีความเหนียว และยืดยุ่นดีกว่า ABS
  • เหมาะสำหรับ งานก่อสร้าง งานเกี่ยวกับเคมี งานเกี่ยวกับเไฟฟ้า
  • มีความแข็งแรง และกันกระแทกได้ดี ไม่เป็นรอยง่าย
  • ไม่เป็นสื่อนำไฟฟ้า
  • กันสารเคมีเช่น กรด แอลกอฮอล์ น้ำมัน ไฮโดริก

หมวกนิรภัยทำด้วยไฟเบอร์กลาส

  • น้ำหนักเบา แข็งแรง ทนทานกว่า HDPE และABS
  • สามารถทนความร้อนได้ถถึง 500℃
  • สามารถกันสารเคมีเช่น กรด น้ำมัน
  • สามารถรีไซเคิลได้
  • เหมาะสำหรับ โรงผลิตเหล็ก น้ำมัน หรืองานที่มีรังสีความร้อน

มาตรฐานของหมวกนิรภัย หรือหมวกเซฟตี้

หมวกนิรภัยมีหลากหลายประเภทซึ่งแต่ละประเภทจะผ่านการทดสอบที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น การเลือกใช้หมวกนิรภัย หรือหมวกเซฟตี้ที่เหมาะสมกับหน้างานจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ มาตราฐานของหมวกเซฟตี้มีทั้งหมด 5 มาตราฐาน ซึ่งได้แก่ Osha Standard, Ansi/Isea Z89.1 standard, En Standard, CSA Z94.1 Standard และ มาตราฐาน มอก.OSH Standard มาตรฐานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ๕ มาตรฐาน

มาตรฐานการประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (มปอ. 402 : 2561)

เพื่อให้มีข้อกำหนดขั้นต่ำและวิธีการประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานระบบการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน  ของสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ อีกทั้งยังเป็นแนวทางให้บุคลากรด้านความปลอดภัยในการทำงาน ใช้เป็นมาตรฐานในการดำเนินการชี้บ่งอันตรายและประเมินความเสี่ยงเพื่อนำไปสู่การจัดการเพื่อการป้องกัน ควบคุม และแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานที่มีประสิทธิภาพต่อไป

มาตรฐานระบบการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (มปอ.401: 2561)

เพื่อให้สถานประกอบกิจการมีแนวทางในการปฏิบัติให้สอดคล้องกับกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2553 ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2553 สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ จึงได้จัดทำมาตรฐานระบบการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (มปอ. 401: 2561) ขึ้น อีกทั้งสถานประกอบกิจการหรือหน่วยงานหรือองค์กรที่ไม่ได้อยู่ในขอบข่ายการใช้บังคับก็สามารถนำมาตรฐานฉบับนี้ไปดำเนินการในการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานขององค์กรให้เป็นระบบอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อความปลอดภัยของคนทำงานทุกคนและสามารถพัฒนาศักยภาพองค์กรสู่มาตรฐานสากลได้ต่อไป

มาตรฐานการยกและเคลื่อนย้ายวัสดุด้วยแรงกายตามหลักการยศาสตร์ (มปอ. 302 : 2561)

เป็นมาตรฐานที่สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการมีแนวทางในการดำเนินการเกี่ยวกับวัสดุที่จะต้องยกและเคลื่อนย้ายด้วยแรงกาย การออกแบบปรับปรุงสถานีงาน สภาพแวดล้อมของบริเวณที่ปฏิบัติงานและการบริหารจัดการ รวมถึงการดูแลพฤติกรรมของลูกจ้างผู้ปฏิบัติงานยกและเคลื่อนย้ายวัสดุด้วยแรงกาย ให้ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก อันเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงและมีจำนวนมากขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน

มาตรฐานการปฏิบัติงานคอมพิวเตอร์ตามหลักการยศาสตร์ (มปอ. 301 : 2561)

เป็นมาตรฐานที่จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติงานและสถานประกอบกิจการดำเนินการปรับปรุงสภาพการทำงานในสำนักงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติงานคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมแก่ลูกจ้างตามหลักการยศาสตร์ โดยมีเนื้อหาครอบคลุมปัจจัยสำคัญของการปรับปรุงงานคอมพิวเตอร์ ได้แก่ สถานีงานคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สภาพแวดล้อมในบริเวณสถานีงาน และการบริหารจัดการงานคอมพิวเตอร์ เมื่อดำเนินการปรับปรุงสภาพการทำงานตามข้อกำหนดในมาตรฐานนี้แล้ว เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานสามารถใช้แบบประเมินท่าทางในการปฏิบัติงานคอมพิวเตอร์ของลูกจ้าง และปรับปรุงให้สอดคล้องกับท่าทางการปฏิบัติงานที่แนะนำในมาตรฐาน นอกจากนี้มาตรฐานนี้ได้แนะนำท่าบริหารร่างกายที่ลูกจ้างสามารถปฏิบัติได้อย่างง่าย ๆ ในระหว่างวันทำงาน เพื่อผ่อนคลายอาการปวดเมื่อยที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย สร้างความยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อที่ใช้งานมากในขณะปฏิบัติงานคอมพิวเตอร์ และสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อที่อ่อนแรงเนื่องจากไม่ได้ใช้งาน

มาตรฐานการจัดการความปลอดภัยในการทำงานบนที่สูง (มปอ. 101 : 2561)

เป็นมาตรฐานที่สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯจัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริมการใช้บังคับกฎหมายด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานและกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานบนที่สูง โดยมีสาระสำคัญบางส่วนที่ช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติได้ตามกฎหมาย และบางส่วนที่เป็นมาตรฐานการทำงานบนที่สูงในลักษณะงานที่อาจมีอันตรายจากการปฏิบัติงานแม้ยังมิได้มีการบังคับใช้ตามกฎหมายมาตรฐานหมวกนิรภัยตาม ANSI Standard Z89.1-2003

ขอบเขตและการใช้งาน

มาตรฐานนี้อธิบายถึง ประเภทหมวกนิรภัย และระดับของหมวกนิรภัย การทดสอบและความต้องการด้านประสิทธิภาพของหมวก รวมถึงความต้องการด้านความปลอดภัยต่างๆ โดยความต้องการด้านประสิทธิภาพพื้นฐานจะถูกกำหนดด้วย การป้องกันจากการกระแทก การเจาะ และการกันไฟฟ้า  ซึ่งเป็นเพียงการลดแรงเท่านั้น ไม่ใช่ให้สามารถกันได้อย่างสมบูรณ์จากการกระแทกอย่างรุนแรง หมวกนิรภัยควรจะสามารถทนได้ต่อการตกใส่ของเครื่องมือเล็กๆ น็อต สกรู ชิ้นส่วนของไม้ เป็นต้น

ประเภทของหมวกนิรภัย

มาตรฐาน ANSI Z89.1-2003 แบ่งหมวกนิรภัยออกได้ตามลักษณะของการกันกระแทก และการกันไฟฟ้า

โดยทั่วไปหมวกนิรภัยควรจะกันกระแทกได้ในแบบประเภท 1 หรือไม่ก็ประเภทที่ 2

หมวกนิรภัย ประเภทที่ 1

หมวกนิรภัยประเภทนี้จะถูกออกแบบให้สามารถกันกระแทกจากด้านบน แต่ไม่ออกแบบสำหรับกันกระแทกจาก้านข้าง

หมวกนิรภัย ประเภทที่ 2

หมวกนิรภัยประเภทนี้จะถูกออกแบบให้สามารถกันกระแทกได้ทั้งจากด้านบนและด้านข้างหมวกนิรภัย ประเภทที่ E

ตัว E ย่อมาจาก Electrical ดังนั้นหมวกนิรภัยประเภทนี้จึงออกแบบเพื่อให้สามารถกันไฟฟ้าได้ดี โดยจะต้องผ่านทดสอบการกันไฟฟ้าได้ที่ 20,000 โวลต์ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมด้านล่าง)

หมวกนิรภัย ประเภทที่ G

ตัว G ย่อมาจาก General หมวกนิรภัยประเภทนี้จะต้องผ่านทดสอบการกันไฟฟ้าได้ที่ 2,200 โวลต์

หมวกนิรภัย ประเภทที่ C

ตัว C ย่อมาจาก Conductive หมวกนิรภัยประเภทนี้ไม่กันไฟฟ้า และไม่มีการทดสอบการกันไฟฟ้า

การระบุเครื่องหมาย

หมวกนิรภัยควรจะมีชื่อ หรือสัญลักษณ์ของผู้ผลิต วันที่ผลิต เครื่องหมายมาตรฐาน ANSI และขนาดหมวกการทดสอบประสิทธิภาพหมวก ตาม ANSI Z89.2003

Microtex M-Flexi หมวกนิรภัยไมโครเท็กซ์ รุ่น M-Flexi

฿0.00

หมวกนิรภัยมาตรฐาน มอก. ผลิตจากพลาสติก ABS น้ำหนักเบา แข็งแรง ทนทาน เหมาะสำหรับใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น ที่ครอบหูลดเสียง และกระบังหน้านิรภัย

เลือกรูปแบบ This product has multiple variants. The options may be chosen on the product page

ประสิทธิภาพ

การทดสอบหมวกนิรภัย

การกันไฟ Flammability

ทดสอบสำหรับทั้งหมวกนิรภัยประเภทที่ 1 และ 2ที่ตั้งหมวกจะต้องทำให้หมวกมีลักษณะเหมือนในการสวมใส่จริงพ่นไฟเป็นเวลา 5 วินาทีที่อุณหภูมิ  800 – 900º C (1472º – 1652º F) บริเวณด้านนอกของหมวกหมวกนิรภัยไม่ควรมีร่องรอยของการไหม้หลังจากการทดสอบ

การกันกระแทก Force Transmission(Impact)

ทดสอบสำหรับทั้งหมวกนิรภัยประเภทที่ 1 และ 2ทดสอบหมวกในสภาพอากาศเย็น 12 ประเภทและสภาพอากาศร้อน 12 ประเภท เพื่อทดสอบการกระแทกที่ความเร็ว ณ จุดกระทบ 5.5 เมตร/วินาที โดยวัตถุที่ตกกระทบควรมีน้ำหนัก 3.6 กิโลกรัมค่าที่เกิดจาการทดสอบ และค่าเฉลี่ยจากสภาพการทดสอบทั้ง 24 แบบจะต้องมีการบันทึกพร้อมกับความเร็วการตกกระทบค่าเฉลี่ยของแรงที่ส่งผ่านตัวหมวกไม่ควรเกิน 3780 N

การเจาะทะลุ Apex Penetration

ทดสอบสำหรับทั้งหมวกนิรภัยประเภทที่ 1 และ 2การทดสอบจะต้องทำให้หมวกมีลักษณะเหมือนในการสวมใส่จริงวัตถุที่จะมาเจาะหมวกจะต้องพุ่งมาในบริเวณเส้นรอบวง ไม่เกินรัศมี  75 mm (3.0 in) จากกึ่งกลางหมวกวัตถุที่จะมาเจาะหมวกต้องมีน้ำหนัก 1.0 กิโลกรัม ตกจากความสูงที่จะทำให้เกิดความเร็ว ณ จุดกระทบ 7.0 เมตร/วินาทีวัตถุที่มาเจาะไม่ควรที่จะติดกับเนื้อหมวก ไม่ว่าจะในสภาพใดก็ตาม

การกันไฟฟ้า

ทดสอบสำหรับทั้งหมวกนิรภัยประเภทที่ 1 และ 2หมวกนิรภัยประเภท E ออกแบบเพื่อให้สามารถกันอันตรายจากไฟฟ้าได้ โดยจะต้องผ่านทดสอบการกันไฟฟ้าได้ที่ 20,000 โวลต์ โดยหมวกจะถูกทดสอบการกันกระแทกก่อน แล้วทดสอบการกันไฟฟ้าที่ 20,000 โวลต์ เป็นเวลา 3 นาทีที่9 มิลลิแอมป์ว่าไม่มีการรั่วเข้าในหมวก แล้วทดสอบที่ 30,000 โวลต์เพื่อดูว่าไม่มีรอยไหม้หรือไม่หมวกนิรภัยประเภท G ออกแบบเพื่อให้สามารถกันไฟฟ้าแบบอ่อนได้ โดยจะต้องผ่านทดสอบการกันไฟฟ้าได้ที่ 2,200 โวลต์ โดยหมวกจะถูกทดสอบ เป็นเวลา 1 นาทีที่3 มิลลิแอมป์ว่าไม่มีการรั่วเข้าในหมวกหมวกนิรภัยประเภท C ไม่มีการทดสอบการกันไฟฟ้า

การดูดซับพลังงานการกระแทกImpact Energy Attenuation

ทดสอบสำหรับเฉพาะหมวกนิรภัยประเภทที่ 2

การเจาะทะลุนอกหนือจากศูนย์กลางหมวกOff center penetration

ทดสอบสำหรับเฉพาะหมวกนิรภัยประเภทที่ 2

การคืนตัวของรองในหมวกChin strap retention

ทดสอบสำหรับเฉพาะหมวกนิรภัยประเภทที่ 2

หมวกในมาตรฐานนี้ก็มีหลากหลายสีให้เลือก หลายๆท่านก็อาจจะมีคำถามว่า สีที่ต่างกัน มีความหมายหรือไม่ หรือแค่ทำมาเป็นแฟชั่น หากสงสัย เรามีคำตอบ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ คลิกที่นี่

En Standard มาตรฐานยุโรปข้อกำหนดอุตสาหกรรม

EN812 ซึ่งเป็นมาตรฐานยุโรปจะมีการอธิบายข้อกำหนดทางกายภาพและสมรรถนะและการทำเครื่องหมายสำหรับหัวกระแทกอุตสาหกรรมและนำเสนอวิธีการทดสอบ มาตรฐานนี้ได้รับการเผยแพร่ในประเทศของเราโดย Turkish Standards Institute (TSE) โดยมีหัวข้อต่อไปนี้: EN 812 Heads ที่ใช้กับผลกระทบในอุตสาหกรรม

หมวกกันน็อกกันกระแทกต่างจากหมวกกันน็อคอุตสาหกรรมที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้สวมใส่จากวัตถุที่อยู่นิ่งเท่านั้นเช่นการเดินใต้เพดานเตี้ย ๆ หรือสิ่งกีดขวางที่แขวนอยู่ ด้วยเหตุนี้การทดสอบแรงกระแทกจึงดำเนินการคล้ายกับที่จำเป็นสำหรับหมวกกันน็อคที่ใช้ในอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามจะใช้ระดับพลังงานที่ต่ำกว่า ตัวอย่างเช่นน้ำหนัก 250 กก. จากความสูง 5 มม. จะถูกทิ้งลงบนหมวกนิรภัยด้วยแรงสูงสุดที่อนุญาต เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะที่แท้จริงของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการใช้งานมักจะมีการนัดหยุดงานที่ด้านหน้าและด้านหลังของหมวกกันน็อคโดยมีความเอียง 30 และ 60 องศาแนบ. ในขณะที่ทำการทดสอบเหล่านี้จะมีการทดสอบสภาวะต่างๆเช่นอุณหภูมิสูงอุณหภูมิต่ำการแช่ในน้ำและการเสื่อมสภาพของรังสีอัลตราไวโอเลตบนตัวอย่างหมวกกันน็อค

หมวกกันน็อคที่ใช้ป้องกันผลกระทบในอุตสาหกรรมมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันวัตถุมีคมหรือปลายแหลม ดังนั้นจึงมีการทดสอบการเจาะบนหมวกกันน็อคด้วย วิธีการทดสอบนี้ยังใช้วิธีการที่คล้ายกับการทดสอบการดูดซับแรงกระแทก เช่นเดียวกับการดูดซับแรงกระแทกการทดสอบการเจาะในมาตรฐาน EN 812 จะดำเนินการที่พลังงานต่ำกว่าที่ระบุไว้ในมาตรฐาน EN 397 เพื่อสะท้อนถึงลักษณะของอันตราย เช่นเดียวกับในการทดสอบแรงกระแทกจะมีการทดสอบเงื่อนไขต่างๆเช่นอุณหภูมิสูงอุณหภูมิต่ำการแช่ในน้ำและการเสื่อมสภาพของรังสีอัลตราไวโอเลตบนตัวอย่างหมวกกันน็อค

ข้อกำหนดหลายประการสำหรับหมวกนิรภัยมีข้อกำหนดหลายประการสำหรับการออกแบบหมวกนิรภัยนอกเหนือจากข้อกำหนดด้านประสิทธิภาพเฉพาะ สิ่งเหล่านี้โดยทั่วไปรวมถึงทั้งความครอบคลุมที่หมวกกันน็อคและมุมมองที่ให้ไว้กับผู้ใช้ นอกจากนี้หมวกกันน็อคยังครอบคลุมตามหลักสรีรศาสตร์และข้อกำหนดด้านความปลอดภัยอีกหลายประเภท

องค์กรของเราซึ่งพยายามสนับสนุนธุรกิจจากทุกภาคส่วนด้วยการทดสอบการวัดการวิเคราะห์และการประเมินผลที่หลากหลายมานานหลายปียังให้บริการทดสอบหมวกที่ใช้ในอุตสาหกรรม EN 812 ภายใต้กรอบของบริการทดสอบถุงมือด้วย พนักงานที่ผ่านการฝึกอบรมและเชี่ยวชาญและอุปกรณ์เทคโนโลยีขั้นสูงเครื่องหมายมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก)

ปัจจุบันสินค้าที่ สมอ. กำหนดเป็นมาตรฐานปัจจุบันมีอยู่กว่า 2,000 เรื่อง ครอบคลุมสินค้าที่เราใช้ อยู่ในชีวิตประจำวันหลายๆ ประเภท สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสถาบันมาตรฐาน แห่งชาติ มีหน้าที่ดำเนินการกำหนดมาตรฐาน และมาตรฐานที่เกี่ยวกับหมวกนิรภัยหรือหมวกเซฟตี้คือ มอก. 368-2562

ผลิตภัณฑ์ที่แสดงเครื่องหมายมอก.ได้นั้น ต้องได้รับการตรวจสอบจากสมอ.แล้วว่ามีคุณภาพเป็นไปตาม ที่กำหนดถ้าผ่าน สมอ.จะออกใบอนุญาตให้ผู้ผลิตแสดงเครื่องหมาย มอก.ที่ผลิตภัณฑ์ของตนได้ หลังจากนั้นสมอ.ก็จะมีการติดตามผลโดยการตรวจสอบระบบควบคุมคุณภาพของโรงงานและสุ่มตัวอย่างผลิตภัณฑ์ ทั้งจากโรงงานสถานที่นำเข้าและสถานที่จำหน่ายมาตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่แสดง เครื่องหมายมอก. จะมีคุณภาพตามมาตรฐานและโรงงานยังสามารถรักษาคุณภาพไว้ได้ตามที่กำหนด

หลักเกณฑ์ตรวจสอบเพื่อขออนุญาต

คณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) ได้กำหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบเพื่อการอนุญาต ของ สมอ. มีหลักการ 2 ประการ คือ ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพเป็นไปตามที่มาตรฐานกำหนด และ ผู้ผลิตมีระบบการควบคุมคุณภาพเพียงพอที่จะรักษาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานได้อย่างสม่ำเสมอ

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว พอจะได้ความรู้ ความเข้าใจบ้างไหมเอ่ย แต่แอดมินก็มั่นใจว่า ทุกท่านที่อ่านมาจนจบ ก็ต้องเข้าใจในเรื่องมาตรฐานหมวกนิรภัยไม่มากก็นี้ และเราก็ต้องขอขอบคุณทุกท่าน ที่อ่านบทความของเรามาจนจบนี้ และมีข้อสงสัย ต้องการสอบถาม หรือสั่งซื้อสินค้าเกี่ยวกับความปลอดภัย ก็สามารถทักเข้ามาได้ทุกวัน จันทร์ – เสาร์ เวลา 08:00 – 17:00

สอบถามข้อมูลตัวแทนฝ่ายขายเพิ่มเติม หรือขอใบเสนอราคา
ได้ที่ Call Center : 034-878762 ต่อ 3
หรือสามารคติดตามเราได้ที่ : คลิกที่นี่
สายด่วน 083 989 7512 (ฝ่ายขายทางโทรศัพท์)